หลากหลายวิธีประหยัดค่าไฟ ประหยัดค่าแอร์ เปิดแอร์อย่างไรให้เปรืองไฟน้อยที่สุด จำเป็นมากสำหรับผู้ที่อยู่หอพัก และบ้านส่วนตัว เพราะหากคุณทำตามทุกข้อแล้ว รับรองได้ว่า จะประหยัดไฟจากค่าแอร์ได้มากถึง 40% เลยทีเดียว ไม่เชื่ออย่าลบหลู่

1. ปิดพัดลมระบายอากาศเมื่อไม่จำเป็น


ในห้องปรับอากาศมักติดตั้งพัดลมระบายอากาศไว้สำหรับระบายอากาศออกจากห้องปรับอากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้องที่มีกลิ่นหรือคันจากการสูบบุหรี่ เมื่อมีการระบายอากาศออกจากห้อง ก็จะมีอากาศในปริมาณเท่ากันไหลเข้ามาในห้อง เพื่อทดแทนอากาศส่วนที่ถูกระบายทิ้งออกไป อากาศจากภายนอกที่ไหลเข้ามาแทนที่นี้ทำให้เครื่องปรับอากาศต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อทำให้อากาศร้อนจากภายนอกที่เข้ามาเย็นลงจนเท่ากับอากาศภายในห้อง พัดลมระบายอากาศนี้มีความจำเป็น หากเป็นห้องที่มีคนใช้งานไม่มากและไม่มีกลิ่นรบกวน ก็ไม่จำเป็นต้องเปิดพัดลมระบายอากาศ ทั้งนี้เนื่องจากโดยธรรมชาติจะมีอากาศรั่วซึมผ่านทางกรอบประตูหน้าต่างอยู่ในปริมาณหนึ่งอยู่แล้ว พอเพียงสำหรับใช้ในการหายใจ นอกจากนี้หากเป็นห้องประชุมในขณะที่เปิดเครื่องปรับอากาศ เพื่อให้อากาศเย็นก่อนจะมีคนเข้าไปใช้ห้องก็ไม่จำเป็นต้องเปิดพัดลมระบายอากาศ ให้รอจนมีคนเข้าใช้ห้องประชุมเป็นจำนวนมากก่อน จึงเปิดพัดลมระบายอากาศก็ได้
2. ตั้งอุณหภูมิ 28 องศาแทน 25 องศา แล้วเปิดพัดลมเสริม


ความเย็นสบาย หรือความสบายเชิงความร้อน (Thermal Comfort) เกิดขึ้นได้จากการมีปัจจัยหลัก 3 ประการที่สมดุลกัน คือ อุณหภูมิ, ความชื้นสัมพัทธ์ และความเร็วลม หากต้องการระดับความสบายเท่าเดิม เมื่อปัจจัยหนึ่งเปลี่ยนก็สามารถเปลี่ยนปัจจัยอื่นเป็นการทดแทนได้ การตั้งอุณหภูมิในห้องสูงขึ้นจะประหยัดพลังงานได้ โดยปกติแล้วก็จะตั้งได้สูงสุดประมาณ 25-26 องศา มิฉะนั้นจะร้อนเกินไป แต่ถ้าเราเปิดพัดลมช่วยเพิ่มความเร็วลมในห้อง เราจะสามารถตั้งอุณหภูมิได้สูงถึง 28-30 องศา โดยยังเย็นสบายเหมือนเดิม (มีระดับความสบายเชิงความร้อนเท่ากัน) โดยจะช่วยประหยัดพลังงานได้มาก
3. นำตู้มาตั้งชิดผนังด้านตะวันออกหรือตะวันตก


ผนังด้านที่มีความร้อนเข้ามามากที่สุดคือด้านตะวันออก และตะวันตก นอกจากความร้อนที่ผ่านผนังเข้ามาแล้ว เวลาที่แสงอาทิตย์ส่องถูกผนัง จะทำให้ผนังมีอุณหภูมิร้อนขึ้นมาก และจะแผ่รังสีความร้อนมาสู่ตัวคน ซึ่งจะทำให้คนรู้สึกร้อนขึ้น แม้อุณหภูมิในห้องจะเท่าเดิม ในห้องที่มีสภาพนี้จะต้องตั้งอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศที่ประมาณ 21-22 องศา จึงจะรู้สึกเย็นสบาย แต่เป็นการสิ้นเปลืองพลังงานมากขึ้น การนำตู้ไปตั้งชิดผนังจะช่วยป้องกันการแผ่รังสีความร้อนจากผนัง ดังนั้นจึงไม่ต้องตั้งอุณหภูมิต่ำกว่าปกติ ในห้องที่ผนังห้องไม่ร้อน การตั้งอุณหภูมิที่ 25 องศา ก็จะเย็นสบายเพียงพอ นอกจากป้องกันการแผ่รังสีความร้อนจากผนังแล้ว การมีตู้ตั้งชิดผนังยังเสมือนว่ามีผนังหนาขึ้น จึงเป็นการช่วยลดความร้อนที่ผ่านผนังเข้ามาได้ด้วย อย่างไรก็ตาม การนำตู้ไปตั้งติดผนังห้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผนังด้านนั้นมีกระจกด้วย จะทำให้อุณหภูมิภายในตู้สูงกว่าอุณหภูมิห้อง ดังนั้นจึงควรระมัดระวังกรณีที่สิ่งของภายในตู้ไม่สามารถทนความร้อนได้
4. เปิดแอร์เมื่อไม่ใช้ และอย่าเปิดประตูหน้าต่างทิ้งไว้ในขณะเปิดแอร์


การปิดเครื่องปรับอากาศเมื่อไม่ใช้ห้องปรับอากาศจะสามารถช่วยประหยัดพลังงานได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ แต่ในขณะที่ปิดเครื่องปรับอากาศนั้นจะต้องไม่เปิดประตูหรือหน้าต่างทิ้งไว้ มิฉะนั้นความร้อนและคามชื้นจากภายนอกจะเข้าไปในห้องและจะสะสมอยู่ที่พื้น, ผนัง, เฟอร์นิเจอร์, พรม, ผ้าม่าน ฯลฯ เมื่อเปิดเครื่องปรับอากาศครั้งต่อไปเครื่องปรับอากาศก็จะต้องทำงานหนักขึ้น เพื่อดึงความร้อนและความชื้นนี้ออกไปซึ่งจะเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานมากกว่าการเปิดเครื่องปรับอากาศอย่างต่อเนื่องเสียอีก
5. ย้ายเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่จำเป็นออกนอกห้องปรับอากาศ


อุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชนิดจะปล่อยความร้อยออกมา เท่ากับพลังงานไฟฟ้าที่อุปกรณ์นั้นใช้ ดังนั้นภาระส่วนหนึ่งที่สำคัญของเครื่องปรับอากาศจึงเกิดจากอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ ภายในห้องปรับอากาศ หากเราสามารถลดเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในห้องปรับอากาศโดยการย้ายออกไปตั้งไว้นอกห้องปรับอากาศได้ ก็จะเป็นการช่วยประหยัดพลังงานได้ ตัวอย่างอุปกรณ์ที่มักมีอยู่ในห้องปรับอากาศแต่สามารถย้ายออกไปได้ เช่น ตู้เย็น, ตู้ทำน้ำเย็น, เครื่องถ่ายเอกสาร, หม้อต้มน้ำร้อน หรือเครื่องชงกาแฟ
6. ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าและไฟแสงสว่างที่ไม่จำเป็น


เครื่องใช้ไฟฟ้าและหลอดไฟฟ้าแสงสว่าง จะปล่อยความร้อนเข้าสู่ห้องปรับอากาศเท่ากับพลังงานที่อุปกรณ์ไฟฟ้าและหลอดไฟใช้ และความร้อนนั้นก็จะกลายเป็นภาระของเครื่องปรับอากาศ และต้องเสียพลังงานในการนำความร้อนนี้ทิ้งออกข้างนอกอีก จะเห็นได้ว่าการใช้เครื่องไฟฟ้าหรือไฟฟ้าแสงสว่างในห้องปรับอากาศจะเป็นการเสียค่าไฟสองต่อคือเสียค่าไฟฟ้าที่อุปกรณ์หรือหลอดไฟใช้ และเสียค่าไฟที่เครื่องปรับอากาศเพื่อนำความร้อนออกไปทิ้งนอกห้อง ดังนั้นการปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าและไฟแสงสว่างที่ไม่จำเป็นในห้องปรับอากาศจึงเป็นการประหยัดสองต่อ คือประหยัดที่ตัวอุปกรณ์ และประหยัดที่เครื่องปรับอากาศ
7. งดสูบบุหรี่ในห้องปรับอากาศ


เมื่อมีการสูบบุหรี่ในห้องปรับอากาศก็จะต้องเปิดพัดลมระบายอากาศ เพื่อระบายความร้อนและกลิ่นออกจากห้อง ภารระบายอากาศออกจากห้องก็จะทำให้มีอากาศจากภายนอกไหลเข้ามาในห้องทดแทน ซึ่งจะทำให้เครื่องปรับอากาศทำงานหนักขึ้น หากงดสูบบุหรี่ได้ก็ไม่จำเป็นต้องเปิดพัดลมระบายอากาศ หรือเปิดเพียงช่วงสั้น ๆ ก็เพียงพอซึ่งจะช่วยประหยัดพลังงานได้ นอกจากนี้การงดสูบบุหรี่ในห้องปรับอากาศ ยังลดปริมาณฝุ่นละอองในอากาศ จึงทำให้ไม่มีฝุ่นละอองไปจับที่คอยล์ร้อน เครื่องปรับอากาศจึงมีประสิทธิภาพสูงอยู่เสมอ และช่วยยืดระยะเวลาการบำรุงรักษาเครื่องปรับอากาศไปได้
8. ปิดประตูหน้าต่างให้สนิท


หากปิดประตูหรือหน้าต่างไม่สนิทจะทำให้มีอากาศชื้นจากภายนอกรั่วไหลเข้าไปในห้องได้ ซึ่งจะทำให้เครื่องปรับอากาศทำงานหนักขึ้น และสิ้นเปลืองพลังงานมากขึ้น มาตรการนี้ดูจะเป็นเรื่องง่าย ๆ ที่ไม่น่าจะต้องกล่าถึงอีก แต่กลับเป็นปัญหาที่พบบ่อยและละเลยกันมากที่สุด นอกจากการปิดประตูหน้าต่างไม่สนิท รอยรั่วรอบ ๆ กรอบประตูและหน้าต่างก็เป็นปัญหาที่พบบ่อย ๆ หากพบว่ามีรอยแยกและมีลมรั่วจากภายนอกเข้ามา ก็ควรดำเนินการแก้ไขเพื่อช่วยกันประหยัดพลังงาน
9. ปิดผ้าม่าน


การปิดผ้าม่านจะช่วยลดการแผ่รังสีความร้อนจากภายนอกเข้ามาสู่ตัวคนโดยตรงได้ และยังช่วยลดการแผ่รังสีความร้อนจากผิวกระจกมาสู่ตัวคนด้วย ซึ่งทำให้ไม่ต้องตั้งอุณหภูมิต่ำกว่าปกติ เพื่อชดเชยการแผ่รังสีความร้อนจึงประหยัดพลังงานได้ นอกจากลดการแผ่รังสีความร้อนมาสู่ตัวคนแล้ว ผ้าม่านยังช่วยสะท้อนความร้อนกลับออกไปภายนอกได้ด้วย (ถึงแม้ว่าจะไม่มากนัก) จึงเป็นการช่วยประหยัดพลังงานได้อีกทางหนึ่ง