ได้เวลาแล้ว ที่ประเทศไทย จะต้องปรับตัวกับ วิกฤตพลังงานที่จะเกิดขึ้น
เปิดอ่าน 679
เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เข้าพบนายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เพื่อหารือถึงมาตรการประหยัดพลังงานของรัฐบาลและกำหนดแผนการผลิตรับมือ ระหว่างวันที่ 5-14 เมษายน ช่วงที่แหล่งก๊าซธรรมชาติจากพม่าปิดซ่อมบำรุง ทำให้ก๊าซหายจากระบบ 1,100 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ส่งผลต่อการผลิตไฟฟ้าในภาพรวมของไทย และอาจเกิดปัญหาไฟดับบางพื้นที่ของกรุงเทพฯและภาคใต้
พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล - รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
กระทรวงพลังงานได้เชิญนายพยุงศักดิ์เข้าหารือ เพื่อร่วมกำหนดมาตรการรับมือสถานการณ์ไฟฟ้าช่วงวันที่ 5-14 เมษายนร่วมกัน ซึ่งจากการหารือภาคอุตสาหกรรม ได้รับการยืนยันว่าจะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี โดยชี้แจงว่าจะกลับไปหารือกับสมาชิกที่เป็นโรงงานอุตสาหกรรมทั่วประเทศให้เข้าใจสถานการณ์ และความจำเป็นในการประหยัดพลังงาน
เชื่อว่าในวันที่ 5 เมษายน หากภาคอุตสาหกรรมให้ความร่วมมือลดใช้พลังงาน ปริมาณสำรองฉุกเฉินหรือฮอต สแตนด์บาย ที่กังวลว่าจะเหลือเพียง 600-700 เมกะวัตต์จะเพิ่มขึ้น และจะไม่เกิดช่วงเวลาการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (พีค)
สำหรับประชาชน กระทรวงพลังงานจะรณรงค์ให้ประหยัดพลังงานช่วงวันที่ 5 เมษายน โดยเฉพาะการปิดเครื่องปรับอากาศในช่วงบ่าย มั่นใจว่าหากทุกคนให้ความร่วมมือจะลดการใช้พลังงานได้มาก ส่วนห้างสรรพสินค้า และโรงแรมจะขอให้ร่วมประหยัดพลังงานเช่นกัน อาทิ เทสโก้โลตัส ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ หากให้ความร่วมมือเปิดเครื่องปรับอากาศช่วงเช้าและปิดช่วงบ่าย มั่นใจว่าอุณหภูมิภายในห้างจะเย็นสบาย ไม่ทำให้ลูกค้าเดือดร้อน
พยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล - ประธาน ส.อ.ท.
จากการหารือได้ข้อสรุปว่าภาคอุตสาหกรรมจะร่วมกับรัฐบาลในการลดใช้พลังงาน โดยเฉพาะวันที่ 5 เมษายนที่ปริมาณสำรองฉุกเฉิน เหลือราว 600 เมกะวัตต์เท่านั้น ดังนั้น ในช่วงวันที่ 5-14 เมษายน ภาคอุตสาหกรรมจะดำเนินการประหยัดพลังงาน 3 ขั้นตอน ประกอบด้วย 1.ลดใช้พลังงานที่เกินความจำเป็น 2.ร่วมกันปิดไฟ ปรับอุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศให้อยู่ระดับประหยัดพลังงาน และ 3.จะหารือร่วมกับประธานกลุ่มอุตสาหกรรมทั้งหมด 42 กลุ่มของ ส.อ.ท.เพื่อขอให้ปรับเปลี่ยนแผนการผลิต เช่น ปกติภาคอุตสาหกรรมจะหยุดผลิตวันอาทิตย์ ซึ่งตรงกับวันที่ 7 เมษายน อาจปรับเป็นวันที่ 5 เมษายน แทน ซึ่งตรงกับวันศุกร์ และไปทำงานวันที่ 7 เมษายน ทดแทนเพราะวันดังกล่าวปริมาณการใช้ไฟฟ้าที่คาดการณ์ไว้ไม่สูง และมีฮอต สแตนด์บายมากกว่า 1,000 เมกะวัตต์ ซึ่งการเตรียมการล่วงหน้าทั้งวันผลิต กำลังคน และวัตถุดิบ จะช่วยให้การผลิตในภาพรวมไม่เกิดปัญหาแน่นอน
ขณะนี้อุตสาห กรรมที่จะขอความร่วมมือ คือ อุตสาหกรรมที่ใช้ไฟฟ้าปริมาณสูง อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน เหล็ก ปูนซีเมนต์ ปิโตรเคมี พลาสติก กระดาษ ล่าสุดจากการประสานงานเบื้องต้นกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ คือ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด และบริษัทชิ้นส่วนรถยนต์ที่ผลิตป้อนให้ได้ตอบรับที่จะกำหนดให้วันที่ 5 เมษายน เป็นวันหยุด เพื่อสลับกับวันที่ 7 เมษายน ให้เป็นวันทำงานปกติ
โดยวันที่ 22 กุมภาพันธ์ กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์จะจัดประชุมประจำเดือน ทางกลุ่มจะขอความร่วมมือบริษัทรถยนต์ทั้งหมดของไทย อาทิ ฮอนด้า มาสด้า ฟอร์ด เชฟโรเลต และบริษัทชิ้นส่วนรถยนต์กว่า 1,700 แห่ง ให้ร่วมกันปรับแผนการผลิตและวันหยุด เพื่อช่วยให้สถานการณ์ใช้ไฟฟ้าของไทยผ่านพ้นช่วงวิกฤตไปได้
การซ่อมบำรุงประจำปีของแหล่งก๊าซยาดานาของพม่า มีการประกาศล่วงหน้า ทำให้ไทยมีเวลาเตรียมตัว แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องฉุกเฉิน หากวันไหนเกิดอุบัติเหตุในแหล่งก๊าซโดยไม่รู้ล่วงหน้า ไทยจะทำอย่างไร จะวิกฤตกว่านี้หรือไม่
สำหรับโรงงานอุตสาหกรรมบางแห่ง หากจะหยุดซ่อมบำรุงประจำปีต้องปรับแผนใหม่ให้มาหยุดช่วงเวลาจ่ายก๊าซ และจะเชิญชวนเจ้าหน้าที่และพนักงานในภาคอุตสาหกรรม ร่วมกันรณรงค์การประหยัดพลังงานในสำนักงานและโรงงานต่างๆ
ส่วนมาตรการระยะยาว รัฐบาลควรกำหนดนโยบายระยะยาวหรือนโยบายพลังงานชาติ จัดหาเชื้อเพลิงในการผลิตไฟระยะยาว ลดการพึ่งพิงก๊าซผลิตไฟที่สูงถึง 70% และมองหาเชื้อเพลิงอื่น เช่น ถ่านหินสะอาด รวมทั้งนิวเคลียร์ ที่อนาคตเทคโนโลยีด้านพลังงานสูงขึ้น และเชื่อว่าจะไม่เกิดอุบัติเหตุแน่นอน
สัมพันธ์ แป้นพัฒน์ - ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมโรงแรมไทย
ถือเป็นสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง โดยเฉพาะโรงแรมขนาดเล็กที่ไม่มีเครื่องปั่นไฟสำรอง ซึ่งมีสัดส่วนถึง 80% ของผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมทั่วประเทศ แต่เฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งรัฐบาลย้ำว่าอาจจะมีปัญหาไฟดับในบางพื้นที่นั้น อาจกระทบต่อโรงแรมกว่า 60-70% ในกรุงเทพฯ ทางสมาคมจึงอยากเรียกร้องให้รัฐบาลประกาศให้ชัดเจนว่า จะมีมาตรการประหยัดพลังงานช่วงเวลาใด เพื่อให้ผู้ประกอบการวางแผนรับมือได้ทันท่วงที
หากนักท่องเที่ยวไม่ได้รับความสะดวกสบาย จะกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศด้วย เพราะในเดือนเมษายนเป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว และคาบเกี่ยวกับเทศกาลสงกรานต์ที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาจำนวนมาก โดยเฉพาะกรุงเทพฯที่เป็นเมืองท่องเที่ยวหลักและติดอันดับโลกมาหลายปี หากไม่มีแผนรับมือ อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยว โดยช่วงเวลาที่จะหยุดจ่ายกระแสไฟฟ้าที่จะกระทบต่อธุรกิจโรงแรมน้อยที่สุด อาจเป็นช่วงเวลา 10.00-12.00 น. หรือ 14.00-17.00 น. ซึ่งเป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวจะเดินทางออกไปท่องเที่ยวนอกที่พัก
อยากให้ภาครัฐมีการหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ได้ข้อสรุปโดยเร็ว เนื่องจากผู้ประกอบการต้องวางแผนดำเนินงานล่วงหน้า ซึ่งโรงแรมขนาดใหญ่ แม้จะมีเครื่องปั่นไฟ แต่หากไม่ได้รับความชัดเจน อาจมีปัญหาเช่นกัน โดยศักยภาพของโรงแรมขนาดใหญ่ สามารถปั่นไฟติดต่อกัน 2 วันโดยไม่หยุดพัก แต่ยังมีโรงแรมจำนวนมากที่มีเครื่องปั่นไฟ แต่ใช้ได้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าบางส่วนเท่านั้น
ชำนาญ เมธปรีชากุล - ผู้อำนวยการใหญ่อาวุโสการตลาด บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด
หากรัฐบาลขอความร่วมมือมายังองค์กร ในเรื่องของการประหยัดพลังงาน ทางห้างสรรพสินค้าก็ยินดีให้ความร่วมมือภายใต้การหารือร่วมกันในการกำหนดแนวทางที่เหมาะสม ทั้งด้านงานระบบ รวมถึงการรณรงค์ในส่วนของพนักงาน ซึ่งน่าจะสามารถดำเนินการเพื่อประหยัดพลังงานได้เพิ่มอีก 5-10%
ทั้งนี้ ห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้า ในกลุ่มเดอะมอลล์กรุ๊ป ได้มีการปรับอุณหภูมิที่เหมาะสมภายในห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้า การปิดไฟในช่วงพักกลางวันของออฟฟิศ การใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ประหยัดพลังงาน เช่น หลอดประหยัดไฟ ภายใต้โครงการ Think Green อยู่แล้ว
ข้อมูลจากสถาบันพลังงานเพื่ออุตสาหกรรมระบุว่า ปัจจุบันภาคอุตสาหกรรมใช้ไฟฟ้าในระบบคิดเป็นสัดส่วนมากที่สุด คือ 46% หรือ 13,800 เมกะวัตต์ ของปริมาณการผลิตรวมทั้งระบบ 30,000 เมกะวัตต์ รองลงมาเป็นบ้านและครัวเรือน และส่วนราชการและองค์กร ตามลำดับ
โดยอัตราการเติบโตของการใช้ไฟฟ้าภาคอุตสาหกรรม จะเป็นไปตามการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่มากกว่าเล็กน้อย คือ 6-7% ต่อปี จากการเติบโตของประเทศ 4-5% ต่อปี
ทั้งนี้ อุตสาหกรรมที่ไฟฟ้าสูงสุด 4 อันดับ คือ
1.อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์
2.อุตสาหกรรมเหล็ก
3.อุตสาหกรรมเคมี และ
4.อุตสาหกรรมอาหาร
ซึ่งอันดับเหล่านี้จะปรับเปลี่ยนตามสภาพการเติบโตของอุตสาหกรรม เทียบจากสภาพเศรษฐกิจ โดยช่วงเวลาการใช้ไฟฟ้าสูงสุดเกิดขึ้นตั้งแต่เวลา 13.00-16.00 น.
ขอบคุณข่าวแอร์จาก: มติชนออนไลน์