ระบบปรับอากาศสำหรับห้องคอมพิวเตอร์ แตกต่างจากระบบปรับอากาศธรรมดาอย่างไร
ปกติแล้วในห้องคอมพิวเตอร์นั้นจะมีเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ส่วนประกอบต่าง ๆ อันได้แก่ ส่วนสมองของเครื่อง (CPU) และหน่วยเก็บข้อมูลอันได้แก่ เทปและดิสก์ นอกจากนั้นก็ยังมีเครื่องพิมพ์ (printer) และอุปกรณ์สำหรับการติดต่อสื่อสารจำพวกสวิตชิ่งและโมเดม (switch and modem) และยังมีพวกกระดาษพิมพ์ที่ใช้กับเครื่องพิมพ์ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้ต่างก็ต้องการการรักษาระดับอุณหภูมิเช่นกัน ส่วนพนักงานที่จะประจำอยู่ในห้องนั้นมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ดังนั้นจะเห็นได้ว่า วัตถุประสงค์หลักสำหรับการปรับอากาศในห้องคอมพิวเตอร์ก็เพื่อควบคุมอุณหภูมิและความชื้นให้ได้ตามความต้องการของเครื่องคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ประกอบต่าง ๆ ในขณะที่ระบบปรับอากาศทั่ว ๆ ไปนั้นจะทำการปรับอากาศให้ได้ตามความต้องการของมนุษย์ซึ่งความแตกต่างระหว่างระบบปรับอากาศทั้งสองประเภทจะเป็นดังต่อไปนี้
1. ปริมาณความร้อนในห้อง
ความร้อนที่เกิดขึ้นในห้องคอมพิวเตอร์ ส่วนใหญ่จะมาจากตัวเครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบต่าง ๆ ซึ่งใช้ไฟฟ้าเป็นพลังงาน โดยเฉพาะพวกมอเตอร์ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่สำคัญในชิ้นส่วนอุปกรณ์ของเครื่องคอมพิวเตอร์ และพวกวงจรอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหลายที่ใช้ไฟฟ้าหล่อเลี้ยงวงจร ซึ่งจะมีพลังงานไฟฟ้าส่วนหนึ่งเปลี่ยนรูปเป็นพลังงานความร้อนแผ่กระจายออกมา เรียกเป็นค่าความร้อนสัมผัส (sensible heat) ประมาณ 90% จึงทำให้อัตราส่วน sensible heat factor ของระบบปรับอากาศที่ใช้ในห้องทั่วไปนั้นจะมีค่าอัตราส่วน sensible heat factor ประมาณ 60-70% เท่านั้น ที่เป็นเช่นนี้ก็เนื่องจากในห้องทั่วไป ปริมาณความร้อนที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่จะมาจากคน ซึ่งจะมีทั้งความร้อนสัมผัส และความร้อนจากความชื้นที่ระเหยออกมาจากร่างกาย (latent heat) เมื่อเฉลี่ยจำนวนตันต่อพื้นที่ที่ปรับอากาศจะพบว่าระบบปรับอากาศสำหรับห้องคอมพิวเตอร์จะมีจำนวนตันสูงกว่า ระบบปรับอากาศทั่วไปมาก และเนื่องจากค่าอัตราส่วน sensible heat factor ของระบบปรับอากาศห้องคอมพิวเตอร์สูง จึบงทำให้ปริมาณลมต่อ 1 ตันของเครื่องปรับอากาศสูงกว่าปริมาณลมต่อ 1 ตัน ของเครื่องปรับอากาศที่ใช้ในห้องทั่วไปด้วยเช่นกัน
2. อุณหภูมิสำหรับการปรับอากาศ
อุณหภูมิเป็นที่ยอมรับกันว่าเครื่องคอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด คือ ที่อุณหภูมิประมาณ 72°F ในขณะที่อุณหภูมิของระบบปรับอากาศที่เหมาะสมสำหรับมนุษย์นั้นจะมีค่าสูงกว่าคือประมาณ 76°F ดังนั้น จะเห็นได้ว่าโหลดของระบบปรับอากาศสำหรับห้องคอมพิวเตอร์จะสูงกว่าระบบปรับอากาศในห้องทั่วไป เนื่องจากต้องรักษาระดับอุณหภูมิในห้องคอมพิวเตอร์ให้ต่ำกว่าห้องปรับอากาศทั่วไป
3. ค่าความชื้นสัมพัทธ์
ในห้องปรับอากาศทั่ว ๆ ไปนั้น ปกติจะมีค่าความชื้นสัมพัทธ์อยู่ในช่วงประมาณ 50-60% ของภายนอกห้อง และถึงแม้ค่านี้จะเปลี่ยนแปลงก็ไม่มีผลกระทบต่อคนในห้องสักเท่าไร ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องมีการควบคุมความชื้นแต่อย่างใด
4. ช่วงการควบคุมค่าอุณหภูมิความชื้น
ระบบปรับอากาศสำหรับห้องคอมพิวเตอร์นั้นต้องการการควบคุมอุณหภูมิ และความชื้นที่แน่นอน เพื่อให้คอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้อย่างถูกต้อง ดังนั้นข่วงการแปรเปลี่ยนของอุณหภูมิจะสูง หรือต่ำกว่าช่วงอุณหภูมิที่กำหนดไว้ได้ไม่เกิน 2°F และค่าความชื้นสัมพัทธ์จะต้องมีค่าอยู่ในช่วงประมาณ 40-50 % เท่านั้น ต้องมีการเพิ่มเติมอุปกรณ์สำหรับควบคุมอุณหภูมิและความชื้น
5. การกรองอากาศ
สำหรับห้องคอมพิวเตอร์แล้วพวกฝุ่นผงและเศษละอองต่าง ๆ ที่มีอยู่ในอากาศนั้นเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดปัญหาขึ้นกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ บรรดาฝุ่นผงต่าง ๆ ที่ไปจับตามเทปแม่เหล็ก อาจจะเป็นผลให้ข้อมูลที่บันทึกไว้เกิดลบเลือนสูญหายไม่สามารถแก้ไขได้ ซึ่งถ้าข้อมูลนั้นมีความสำคัญ ค่าความเสียหายนั้นก็อาจจะมีมูลค่ามหาศาล
ดังนั้นถ้าเศษฝุ่นละอองต่าง ๆ เหล่านี้เข้าไปในติดอยู่ระหว่างส่วนแผ่นจานข้อมูลกับหัวอ่านแล้วก็จะเป็นผลให้หัวสำหรับการอ่าน และบันทึกข้อมูลเกิดเสียหายที่เรียกว่า head crash และจะเกิดความเสียหายขึ้นกับแผ่นดิสก์ที่บันทึกข้อมูลเอาไว้ด้วยเช่นกัน ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการกรองฝุ่นละอองต่าง ๆ ออกจากอากาศไม่ดีพอนั้นจะมากเพียงใด ระบบกรองอากาศของเครื่องปรับอากาศที่ใช้กับห้องคอมพิวเตอร์จึงต้องใช้แผงกรองอากาศที่มีประสิทธิภาพสูง รวมทั้งอุปกรณ์ที่เตือนให้ทราบในกรณีที่แผงกรองอากาศทำงานจนเต็มประสิทธิภาพแล้ว จะได้มีการเปลี่ยนแผงกรองอากาศต่อไป
6. ปริมาณอากาศบริสุทธิ์ (fresh air)
สำหรับระบบปรับอากาศธรรมดานั้นจะต้องการอากาศบริสุทธิ์ในปริมาณมากเพื่อให้มีการหมุนเวียนถ่ายเทของอากาศภายในบริเวณที่มีการปรับอากาศ ซึ่งเป็นบริเวณทึบอยู่แล้ว เพื่อขจัดกลิ่นและควันต่าง ๆ อันเกิดขึ้นจากคนที่อยู่ภายในให้น้อยลง ส่วนระบบปรับอากาศสำหรับห้องคอมพิวเตอร์นั้นเนื่องจากมีคนที่อยู่ในห้องคอมพิวเตอร์น้อยจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องนำอากาศบริสุทธิ์จากภายนอกเข้ามาเป็นจำนวนมาก และเหตุผลอีกอย่างหนึ่งก็คือ อากาศจากภายนอกนั้นจะมีฝุ่นผงต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงจำเป็นจะต้องจำกัดอากาศบริสุทธิ์ที่นำเข้ามานี้ให้เพียงเพื่อสามารถควบคุมแรงดันอากาศภายในห้องคอมพิวเตอร์ให้สูงกว่าภายนอกไว้เล็กน้อยเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้มีอากาศจากภายนอกรั่วไหลเข้ามาในบริเวณที่มีการปรับอากาศนั่นเอง
7. ชั่วโมงการทำงานของเครื่องปรับอากาศ
สำหรับระบบปรับอากาศธรรมดานั้นจะมีชั่วโมงการทำงานไม่สูงนัก เช่น ถ้าเป็นสำนักงานธรรมดา เครื่องปรับอากาศก็จะทำงานตามชั่วโมงการทำงานคือ 8 ชั่วโมงต่อวันทำงาน หรือตกประมาณ 1,200 ชั่วโงต่อปี ในขณะที่ระบบปรับอากาศสำหรับห้องคอมพิวเตอร์นั้นจะทำงานอย่างต่อเนื่องถึงวันละ 24 ชั่วโมงเป็นเวลา 7 วันต่อสัปดาห์หรือ 8760 ชั่วโมงต่อปี โดยไม่มีวันหยุดตลอดทั้งปี เช่นเดียวกับเครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งต้องทำงานโดยไม่มีวันหยุดด้วยเช่นกัน เนื่องจากเครื่องคอมพิวเตอร์มีราคาแพงมาก ผู้ใช้จึงต้องพยายามป้อนงานให้เครื่องทำงานอยู่ตลอดเวลาถึงจะคุ้มค่ากับการลงทุน