หลายๆท่านคงจะคุ้นเคย หรือเคยได้ยินชื่อของ น้ำยาแอร์แบบ R22 มาบ้างแล้ว แต่ไม่ค่อยได้ยิน R410A เพราะน้ำยาแอร์ แบบ R22 นั้นมีใช้กันมานานมากๆ และพึ่งจะมีการรณรงค์เปลี่ยนไปใช้ สารทำความเย็นแบบ R401A เมื่อไม่นานมานี้เอง โดยเหตุผลหลักก็ไม่ใช่อะไร แต่เป็นเรื่องของผลกระทบในระยะยาวต่อสิ่งแวดล้อมนั่นเอง
วันนี้ทางร้านเชียงใหม่แอร์แคร์ จะพาท่านผู้อ่านไปรู้จักกับ น้ำยาแอร์ R410A ว่าน้ำยาแอร์ตัวนี้นั้น มันดีกว่า น้ำยาแอร์ R22 แบบที่เราเคยใช้กันมายาวนานอย่างไร รวมไปถึงทำไมแอร์รุ่นใหม่ๆ ต้องนำคำว่า R410A ไปโฆษณาในสื่อต่างๆ ว่ามันดีกว่าสารความความเย็นแบบเดิมๆ
แต่เดิมนั้นมีวิวัฒนาการสารทำความเย็นหลายชนิดมากๆ เช่น H134a R407c ฯลฯ จนกระทั่งมาถึงยุคของ R-22 ที่ผ่านมา (และปัจจุบัน)
สารทำความเย็น R22 แบ่งเป็นสามกลุ่ม
1. Propane Series
R290 และ R600a ในที่นี้พูดถึง R290 โดยนำมา combine กับ R600a เพื่อเพิ่มความสามารถด้าน COP และเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น Co.. 22 หรือ Re.. 22 หรือ R431a เป็นต้น เรียนว่าเป็น "สารติดไฟ" ปริมาณการใช้น้อยกว่าร้อยละ 50 เพราะมีขนาดของโมเลกุลโตกว่า HFCs ประหยัดไฟกว่าเพราะไม่มีส่วนผสมของ Fluorine
สรุป ลุกติดไฟได้ง่าย ประหยัดค่าไฟฟ้า ใช้ปริมาณน้ำยาน้อยกว่า น้ำยาราคาแพงมากและไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย ผู้ขายน้อยราย เป็นสินค้ากึ่งผูกขาด ค่า global warming ต่ำ
2. Zeotropics
ไม่ต้องเปลี่ยนน้ำมันคอมฯ (เดินท่อระยะใกล้) R417a, R424a, R422d
ต้องเปลี่ยนน้ำมันคอมฯ R407c, R427a
ต้องใช้กับระบบที่ design เฉพาะ R410a
สรุป แม้ ODP จะเท่ากับ 0 แต่ค่า Global Warming ยังสูงอยู่ Handling ง่าย
3. Inorganic Compounds
R744 หรือคาร์บอนไดออกไซด์ แรงดันสูงมากอาจเป็นอันตรายได้ operating temperature range ค่อนข้างจำกัด ราคาถูก global warming ต่ำ handle ยากกว่า freon เปลี่ยนสถานะได้ทั้งสาม 3 สถานะคือ ก๊าซ, ของแข็งและของเหลว
การดีไซน์ระบบยุ่งยากกว่า
R717 หรือแอมโมเนีย ราคาถูก capacity และ COP อยู่ด้านขวาสุดของกราฟ ในเมืองห้ามใช้ ต่างจังหวัดก็เริ่มควบคุม ข้างบ้านคุณไม่ชอบมันแน่ ๆ และเมื่อรั่วจะเป็นพิษแก่ผู้อยู่ใกล้เคียง การสูดดมในปริมาณเข้มข้น แม้คุณมองเห็นประตูทางออกอยู่ไกลออกไปเพียง 15 เมตรก็ไม่ได้แปลว่าคุณจะเดินไปถึงเพราะอาจนอนฟุบอยู่ตรงนั้นเสียก่อน
ประวัติจากน้ำยาแอร์ R-22 มาเป็น R410a
ในกลางปี 1990 สารทำความเย็นชนิด R407C ได้ถูกออกแบบขึ้น โดยมีค่าการทำความเย็นและแรงดันที่ใกล้ เคียงกับสารทำความเย็นชนิด R22 แต่มีสิ่งท้าทายว่าจะออกแบบอย่างไรให้มีประสิทธิภาพทางพลังงานใน ระบบเทียบเท่ากับระบบที่ใช้สารทำความเย็นชนิด R22 อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสารทำความเย็นชนิด R407C จะไม่ใช่สารทำความเย็นในอุดมคติแต่ก็เป็นที่นิยมในตลาดยุโรป คุณสมบัติของสารทำความเย็นชนิดนี้ คือ การไม่ทำลายชั้นโอโซน ช่วยลดภาวะโลกร้อน และสามารถใช้ได้กับระบบที่ใช้สารทำความเย็นชนิด R22 เดิมได้ เพียงแก้ไขแบบเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนข้อด้อยของสารทำความเย็นชนิดนี้ คือความไม่เสถียรในบางสถานะของสัดส่วนและคุณสมบัติของน้ำยา และประสิทธิภาพที่ลดลงเล็กน้อยจาก R22 อย่างไรก็ตาม ผู้ส่งออกรายใหญ่หลายรายจากญี่ปุ่นได้ร่วมมือและสนับสนุนที่จะใช้สารทำความเย็นชนิด R407C กับระบบปรับอากาศที่ส่งเข้าตลาดยุโรป สำหรับตลาดญี่ปุ่นนั้น ส่วนใหญ่ของตลาดมุ่งไปยังการใช้สารทำความเย็นชนิด R410a แทน
ในปัจจุบัน สารทำความเย็นชนิด R410a ซึ่งมีส่วนประกอบของ fluorocarbon คือสารทำความเย็นล่าสุดที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อทดแทนสารทำความเย็นชนิด R22 สารทำความเย็นชนิดนี้เป็นชนิดที่ยอมรับในตลาดผู้ใช้ระบบปรับอากาศทั่วโลก ในกลุ่มประเทศเอเชีย ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศแรกที่ใช้สารทำความเย็นชนิดนี้อย่างแพร่หลาย เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ตามมาด้วยประเทศออสเตรเลีย
ในประเทศจีนมีแนวโน้มการพัฒนาสารทำความเย็นทดแทนค่อนข้างช้ากว่าประเทศอื่น เนื่องจากผู้ผลิตในประเทศยังคงนิยมใช้สารทำความเย็นชนิด R22 อยู่ อย่างไรก็ตาม การใช้สารทำความเย็นชนิด R410a จะเริ่มแพร่หลายมากขึ้นในอนาคตจากการบังคับของกฎหมายมาตรฐานประสิทธิภาพทางพลังงาน
มากกว่า 5 ปีที่อุตสาหกรรมคอมเพรสเซอร์ทั่วโลกได้หันมาให้ความสนใจ และ
เปลี่ยนมาใช้สารทำความเย็น R410a ซึ่งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทดแทนสารทำความเย็นชนิดเดิมและอาจพูดได้ว่า สารทำความเย็นชนิด R410a นี้เป็นสารทำความเย็นแห่งอนาคต
สารทำความเย็นชนิด R410a เป็นหนึ่งในสารทำความเย็นตระกูล Hydro Fluoro Carbon (HFC) ที่มีส่วนช่วยอุตสาหกรรมระบบปรับอากาศให้อยู่รอด ก่อนที่จะมีกฎหมายบังคับเลิกใช้สารทำความเย็นที่ทำลายสิ่งแวดล้อมอย่างเด็ดขาดในปี 2010 ข้อแตกต่างที่สารทำความเย็นชนิด R410a ดีกว่าสารทำความเย็นชนิดอื่น คือ ไม่ทำลายชั้นโอโซน
ข้อดีของสารทำความเย็นชนิด R410a ได้แก่ มีการแลกเปลี่ยนความร้อนที่ดี มีความเสถียรของสัดส่วนและคุณสมบัติ ใช้ปริมาณน้ำยาน้อยลง และช่วยให้ระบบปรับอากาศมีประสิทธิภาพการทำงาน และคุณภาพของเสียงที่ดีขึ้น จากทั้งหมดที่กล่าวมา ทำให้สารทำความเย็นชนิด R410a มีข้อเด่นที่ชัดเจนเหนือกว่าสารทำความเย็นชนิดอื่นๆ ที่ใช้แทนสารทำความเย็นชนิด R22 ในปัจจุบัน
การบรรจุสารทำความเย็น R410a
โดยปกติถังบรรจุขนาด 10 กิโลกรัมนั้นให้คำนวณการบรรจุดังนี้
- ถ้าเป็น R22 บรรจุได้ Maximum 10 กิโลกรัม
- ถ้าเป็น R410a บรรจุได้ Maximum 7 กิโลกรัม
- ถ้าเป็น R290 บรรจุได้ Maximum 3 กิโลกรัม
(แผนผังวงจรน้ำยาแอร์ R410a)
ถ้าให้ปลอดภัยมากยิ่งขึ้นให้ซื้อถังประเภท 13.6 กิโลกรัมมาใช้แทนรุ่น 10 กิโลกรัม จะเป็นดีมาก และต้องเป็นถังที่มีความหนา 2.2 mm.ขึ้นไปจึงจะใช้เป็น Returnable Cylinder ได้ ที่สำคัญคือคุณต้องใช้ตาชั่งเป็นตัวชี้วัดน้ำหนักของน้ำยาเข้าไปในถัง จะใช้วิธีการเดาไม่ได้โดยเฉพาะ R410a เพราะ Velocity in line นั้นมากกว่า R22 การที่คุณใช้วิธีกะหรือคาดเดาน้ำหนักอาจผิดพลาด เผลอคือ "ระเบิดเวลา" ดีดีนี่เอง ถ้าวางไว้ใกล้ความร้อนนะครับ
ล่าสุดเพิ่งมีถังน้ำยาแอร์ระเบิดเพราะไปถ่าย R404a จากท่อลงสู่ภาชนะประเภทนี้ด้วยวิธีการ "เดา" และนำเข้าไปไว้หลังรถปิคอัพซึ่งร้อนจัดและจอดอยู่กลางแดด โชคดีที่ไม่มีผู้เสียชีวิต
...ยังไงก็ใช้งานให้ถูกวิธีนะครับ แล้วจะหาว่าไม่เตือน