รอบรู้เรื่องแอร์บ้าน วิธีเลือกแอร์ให้เหมาะกับขนาดห้อง เลือกอย่างไรให้เหมาะสม

แอร์บ้าน จำเป็นต้องมีเกือบจะทุกหลังในเมืองใหญ่ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแอร์เก่าให้เป็นแอร์ใหม่ หรือแม้แต่การซื้อตัวใหม่เพื่อติดประจำบ้าน ล้วนแล้วแต่จะต้องศึกษาหาความรู้ก่อนให้คลอบคลุม เพื่อให้การหาแอร์ตัวใหม่มาใช้ได้อย่างที่ต้องการจริงๆ ทั้งนี้ก็ควรเริ่มมาจากประเภทของแอร์บ้านก่อนว่ามีกี่แบบ รวมทั้งวิธีเลือกว่าจะเลือกขนาดเท่าใดจึงจะเหมาะสมกับขนาดห้องที่มีอยู่
แอร์บ้านมีแบบใดบ้างและเหมาะสำหรับห้องประเภทใด
แอร์บ้านมีหลายลักษณะตามตำแหน่งของการติดตั้งคือ แอร์บ้านถูกแยกออกมาตามลักษณะของการวางตามตำแหน่งของห้องดังนี้
- แบบติดผนัง เหมาะกับห้องที่มีขนาดเล็ก กะทัดรัด การดูแลรักษาทำได้ง่าย มีให้เลือกมากมายหลากหลายรูปแบบ สวยงาม กินไฟน้อย
- แบบฝังกับผนัง เหมาะกับผู้ที่ต้องการความสวยงาม ความเป็นระเบียบเรียบร้อย เพราะแอร์บ้านประเภทนี้จะถูกฝังเก็บเข้าไปใต้ผนังทั้งหมดรวมทั้งอุปกรณ์ ท่อน้ำทิ้งและท่อน้ำยาทั้งหมด โดยมีราคาค่อนข้างสูง
- แบบแขวนใต้แผ่นฝ้า เหมาะกับห้องขนาดเล็กและห้องขนาดกลาง แต่มีผู้อาศัยในห้องหลายคน โดยเป็นชนิดที่ให้ความเย็นได้อย่างทั่วถึง มักนิยมติดตามสำนักงานหรือร้านค้าขนาดย่อม
- แบบตู้สำหรับตั้งกับพื้น เหมาะสำหรับ สำนักงานหรือโรงงานที่มีขนาดใหญ่ มีผู้คนอยู่เป็นจำนวนมาก โดยเป็นชนิดที่ให้ความเย็นได้มากและกระจายความเย็นทั่วถึง แต่ก็สิ้นเปลืองไฟมากเช่นกัน นอกจากนี้ยังทนต่อควันและฝุ่นได้เป็นอย่างดี
การเลือกใช้ BTU ให้เหมาะกับขนาดห้อง
การติดตั้งแอร์ที่จำเป็นที่จะขาดไม่ได้เลยคือ การเลือกใช้ขนาดของ BTU ที่เหมาะสม ห้องจะเย็นสบายดีก็จะขึ้นกับความสัมพันธ์ของ BTU และขนาดของห้องเป็นหลักสำคัญ โดยค่า BTU จะเป็นตัวบอกว่า แอร์มีความสามารถในการดึงความร้อนและถ่ายเทให้อากาศเย็นแก่ภายในห้อง การเลือก BTU ที่ไม่สอดคล้อง ไม่พอเหมาะกับห้องนั้น ถ้าค่า BTU สูงหรือต่ำเกินไปก็จะทำให้สิ้นเปลืองพลังงานหรืออายุการใช้งานน้อย เสียง่าย
- ถ้า BTU สูงจนเกินไปก็จะทำให้คอมเพรสเซอร์ต้องตัดบ่อยเกินไป
- หาก BTU ต่ำจนเกินไป เพื่อให้ห้องเย็นสม่ำเสมอ ก็จะทำให้คอมเพรสเซอร์ทำงานหนัก มีโอกาสที่แอร์จะเสียง่าย ใช้ไม่ได้นาน
สูตรในการหาค่า BTU ของห้องทั่วไป คือ พื้นที่ห้อง (ตรม.) X จำนวน BTU 600 เช่น ห้องมีขนาด กว้าง 5 เมตร ยาว 6 เมตร ก็จะต้องใช้แอร์ที่มีค่า BTU ดังนี้ 5 x 6 x 600 = 18000 BTU เป็นต้น
วิธีซื้อแอร์ให้ประหยัดไฟ คุ้มค่าไม่เกิดปัญหาเมื่อแอร์เสีย
การเลือกซื้อแอร์นอกจากยี่ห้อ รูปทรง สีสันภายนอกที่ถูกใจแล้ว สิ่งสำคัญเลยนั่นคือ จะต้องเลือกยี่ห้อที่ได้มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) ด้วย และนอกจากนี้แล้วก็ควรจะต้องตัดสินใจเลือกจาก
1. ติดฉลากประหยัดไฟ
การแสดงว่าแอร์ยี่ห้อนั้นๆ มีความประหยัดไฟสูงสูด ก็มักจะติดฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 ไว้ แต่ฉลากนี้ก็ยังมีการปลอมแปลงได้อีกด้วย ดังนั้นเพื่อให้แน่ใจว่าประหยัดไฟได้จริงๆ นั้น จะต้องมีการดูความน่าเชื่อถือของยี่ห้อนั้นด้วยว่า น่าเชื่อถือด้วยหรือไม่ เพราะนั่นหมายถึงสินค้าได้มาตรฐาน และเป็นการยืนยันได้ว่าแอร์ยี่ห้อนี้ได้มาตรฐานประหยัดไฟได้จริงๆ นั่นเอง โดยมีค่าวัดการประหยัดไฟไว้ดังนี้คือ
- ค่า EER (Energy Efficiency Ratio) หรือค่าแสดงการใช้พลังงาน ค่านี้ยิ่งสูงแสดงว่ายิ่งกินไฟน้อย
- ค่า SEER (Seasonal Energy Efficiency Ratio) เป็นค่าที่ใช้กับแอร์ประเภท Inverter ยิ่งค่าสูงก็แสดงว่ายิ่งกินไฟน้อย
2. เป็นแบบ Inverter
หากเป็นห้องที่ต้องการความเงียบ มีอุณหภูมิที่เย็นกระจายแบบสม่ำเสมอ ก็สมควรที่จะเลือกแบบ Inverter เนื่องจากเมื่อถึงจุดที่เย็นตามที่ตั้งไว้แล้ว คอมเพรสเซอร์ก็จะทำงานช้าลง ทำให้ใช้ไฟน้อย ไม่สิ้นเปลืองพลังงาน ในระยะยาวแล้วจะคุ้มกว่าแอร์ในระบบเก่า
3. บริการหลังการขายดี
การใช้แอร์ในระยะแรกๆ ก็เหมือนเครื่องใช้ไฟฟ้าทั่วไป มักไม่พบปัญหา แต่เมื่อใช้นานๆ ไปก็จะเกิดความเสื่อม เกิดการเสียใช้งานไม่ได้ต้องซ่อม และมักจะต้องใช้เพียงผู้ที่ชำนาญเฉพาะทางเท่านั้น ดังนั้นก่อนการเลือกหาและจับจองมาเป็นเจ้าของก็ควรจะต้องสอบถาม ว่ามีช่างหรือผู้ที่ชำนาญสามารถให้คำปรึกษาหรือซ่อมแซมในยามที่แอร์เสียด้วยหรือไม่ หากมีจึงจะพิจาณาเลือกยี่ห้อนั้นๆ ก็จะลดปัญหาที่จะเกิดกับตัวแอร์ในอนาคตอันใกล้ได้
4. เปรียบเทียบรุ่น ราคาแอร์ คุณสมบัติ
การเลือกซื้อของใช้ต่างๆ การเปรียบเทียบ ยี่ห้อ รุ่น ราคา รวมทั้งคุณสมบัติต่างๆ แทบจะทุกชนิดในสมัยนี้นับว่าสะดวก สบายมาก แอร์ก็เช่นกัน ไม่จำเป็นที่จะต้องไปถามที่ร้านจำหน่ายแต่เพียงอย่างเดียว ปัจจุบันเพียงเราค้นหาใน Google ก็สามารถรู้ข้อมูลได้แทบทั้งหมดคร่าวๆ แล้ว ดังนั้นก่อนการซื้อแอร์ก็ควรเลือกให้เหมาะกับความต้องการโดยเน้นการใช้งานเป็นหลัก จะได้คุ้มค่า สมราคาที่ต้องจ่ายไป
เมื่อได้แอร์มาติดตั้งแล้ว สิ่งที่ควรคำนึงถึงต่อไปก็คือ การบำรุงรักษาแอร์ เป็นสิ่งที่จำเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผู้ใช้แอร์จะมองข้ามไม่ได้ เพราะนอกจากการข้อมูลเลือกซื้อดังกล่าวแล้ว การบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอก็จะช่วยให้แอร์ไม่ทำงานงานหนัก กินไฟมาก ใช้ทนทาน คุ้มค่า ไม่เกิดปัญหากวนใจก็ส่วนหนึ่งก็มาจากการบำรุงรักษาด้วยนั่นเอง