จำนวนชั้นของแผ่นกรองอากาศ ในเครื่องฟอกอากาศ สามารถกรองฝุ่น PM2.5 ได้อย่างไร

ปัญหาของฝุ่น PM 2.5 ที่เกิดขึ้นทุกๆ ปีโดยเฉพาะในเวลาที่มีอากาศแห้งแล้ง สามารถแก้ได้ด้วยการใช้เครื่องฟอกอากาศ แต่เครื่องฟอกอากาศนั้นๆ จำเป็นต้องมีจำนวนชั้นของ "แผ่นกรองอากาศ" ที่เหมาะสมด้วย มาดูกันว่า เครื่องฟอกอากาศที่สามารถกรองฝุ่น PM 2.5 ได้นั้นจำเป็นที่จะต้องมีแผ่นกรองอากาศกี่ชั้นและในแต่ละชั้นทำหน้าที่อะไรบ้าง
หน้าที่ของแผ่นกรองอากาศมีอะไรบ้าง
โดยปกติเครื่องกรองอากาศที่ดีและมีประสิทธิภาพในการกรองฝุ่น PM 2.5 ได้สูงนั้น จะนิยมมีแผ่นกรองอากาศไม่น้อยกว่า 3 ชั้น ซึ่งหน้าที่ของแต่ละชั้นก็มีดังนี้
1. แผ่นกรองชั้นแรก (Pre Filter)
เป็นแผ่นกรองที่อยู่ชั้นนอก หรือแผ่นกรองหยาบ โดยอยู่ในตำแหน่งชั้นนอกสุด มีลักษณะเป็นตาข่ายปรุๆ ถี่ๆ หรือบางยี่ห้ออาจเป็นแผ่นฟองน้ำหรือมีทั้งตาข่ายและแผ่นฟองน้ำเลยก็มี ซึ่งแผ่นกรองชนิดนี้มีตาข่ายที่ค่อนข้างใหญ่กว่าแผ่นกรองชนิดอื่น เป็นแผ่นที่ผู้ใช้สามารถนำออกมาทำความสะอาดด้วยการล้างหรือซักเองได้ ดังนั้น จึงมีหน้าที่กรองฝุ่นที่ยังคงมีขนาดใหญ่ไม่เกิน 10 ไมครอนไม่ให้เข้าไปด้านใน ช่วยให้การทำงานของแผ่นกรองอากาศในชั้นถัดที่ 2-3 ไม่ต้องทำงานหนักจนเกินไป
2. แผ่นกรองชั้นสอง (HEPA Filter)
เป็นแผ่นกรองที่อยู่ถัดมา โดยแผ่นกรองนี้เป็นชั้นที่สามารถกรองฝุ่น PM2.5 ไว้ได้ เพราะเป็นชั้นที่ละเอียด ผลิตจากไฟเบอร์กลาส ที่ละเอียดมากกว่าแผ่นกรองชั้นแรก ซึ่งมีหน้าที่กรองฝุ่นต่างๆ โดยจะเริ่มกรองฝุ่นได้ตั้งแต่ 0.3 ไมครอนเป็นต้นไป รวมทั้งฝุ่นละอองหรือฝุ่นผงชนิดอื่น เช่น ละอองเกสรดอกไม้ ไรฝุ่น เชื้อโรค ดังนั้น เมื่อผ่านการกรองชั้นนี้แล้ว ก็จะมีเพียงอากาสบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะสามารถผ่านชั้นกรองนี้ไปได้ วิธีที่จะช่วยถนอมให้แผ่นกรองชั้นนี้ใช้ได้ยาวนานก็เพียงแค่ ไม่ควรทำความสะอาดด้วยน้ำ ด้วยผงซักฟอก หรือน้ำยาทำความสะอาดต่างๆ เท่านั้น เพราะจะทำให้แผ่นกรองชนิดนี้เสื่อมหรือเสียเร็วขึ้น
3. แผ่นกรองกลิ่นไม่พึงประสงค์ (Carbon Filter)
แผ่นกรองชนิดนี้ผลิตโดยใช้ส่วนผสมของคาร์บอนเป็นหลัก มีหน้าที่ดูดซับกลิ่นเหม็นหรือกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ต่างๆ เช่นกลิ่นอาหาร กลิ่นอับ กลิ่นบุหรี่ กลิ่นน้ำยาย้อมผม และกลิ่นก๊าซต่างๆ
โดยหลักๆ แล้วหากเป็นเครื่องฟอกอากาศมักจะมีเพียงแผ่นกรอง 3-5 ชั้นเท่านั้น แต่ก็พบว่ายังมีเครื่องฟอกอากาศรุ่นที่ราคาถูก ซึ่งตัวเครื่องมีขนาดที่ไม่ใหญ่มาก และมักผลิตโดยใช้แผ่นกรองแบบรวมคุณสมบัติของแผ่นกรองทั้ง 3 ชนิดไว้ทั้งหมด แผ่นกรองชนิดนี้มักทำความสะอาดไม่ได้เลย เมื่อครบอายุการใช้งานก็จะต้องทำการเปลี่ยนใหม่เพียงอย่างเดียว ซึ่งเครื่องฟอกอากาศชนิดนี้จะเหมาะกับการใช้ในรถยนต์หรือในห้องที่มีพื้นที่น้อยๆ สำหรับห้องที่มีขนาดใหญ่ควรเลือกเครื่องฟอกอากาศที่มีขนาดใหญ่กว่านี้จะเหมาะสมกว่า
นอกจากความสำคัญของแผ่นกรองที่จะสามารถกรองฝุ่น PM2.5 ได้แล้ว เครื่องฟอกอากาศก็ควรจะต้องประหยัดไฟด้วย โดยควรเลือกใช้ประเภทที่มีฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 เท่านั้น เพียงเท่านี้ก็สามารถเลือกซื้อมาใช้งานได้ตรงกับความเหมาะสม และช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าได้มากขึ้นแล้ว