ไทยเข้มงวดดูแล เรื่องนำเข้าน้ำยาแอร์ ป้องกันคว่ำบาตรการค้า
ประเทศไทยเป็นสมาชิกพิธีสารมอนทรีออล ที่จะต้องปฏิบัติตามในการทยอยลดและเลิกการใช้สารไฮโดรคลอโรฟลูโอโรคาร์บอน (HCFCs) หรือสาร R 22 ที่เป็นตัวทำลายชั้นบรรยากาศโอโซน และทำให้เกิดสภาวะโลกร้อนเพิ่มมากขึ้น โดยตามเป้าหมายจะต้องมีการใช้สารดังกล่าวลดลงร้อยละ 10 ภายในปี 2558 จะต้องลดลงร้อยละ 35 ภายในปี"63 และภายในปี"73 จะต้องมีการใช้เป็นศูนย์ ซึ่งกรมโรงงานอุตสาหกรรมจะเป็นหน่วยงานที่กำกับดูแลผู้ประกอบการทั้งในแง่ปริมาณนำเข้า และการดำเนินการให้ภาคเอกชนทยอยปรับเปลี่ยนเครื่องจักรและอุปกรณ์ มาใช้สารอื่นทดแทน เช่น R 32 ที่ไม่ทำลายชั้นบรรยากาศ
นายศักดา พันธุ์กล้า รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ได้รับข้อมูลที่ระบุว่ามีบริษัทผู้ผลิตสารทำความเย็นลักลอบนำเข้าสารทำความเย็น R 22 และสารเป่าโฟม HCFC-141b เกินกว่าปริมาณที่กำหนดตามพิธีสารมอนทรีออล ประมาณ 100 ตัน (ปริมาณที่กำหนดคือ 12,418 ตัน) เบื้องต้นได้ประสานงานกับกรมศุลกากร เพื่อดำเนินการตรวจสอบที่มาของการนำเข้า รวมถึงหากพบว่ามีการลักลอบจริง จะต้องใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดกับบริษัทดังกล่าว เพราะถือว่ามีความผิดตามมาตรา 23 ตามพระราชบัญญัตวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535
กรมโรงงานฯใช้ พ.ร.บ.วัตถุอันตรายในการควบคุมการนำเข้าและส่งออกสารกลุ่ม HCFCs โดยสารดังกล่าวถือเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 ที่ต้องได้รับอนุญาตก่อนการนำเข้ามาในราชอาณาจักร การฝ่าฝืนกฎหมาย จะถือว่ามีความผิดตามมาตรา 23 ซึ่งจะมีการกำหนดโทษ คือโทษปรับ 200,000 บาท โทษทางอาญา คือโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี นอกจากนี้ กรมโรงงานฯยังสามารถดำเนินการพักใช้ หรือเพิกถอนใบอนุญาต
"ไทยอยู่ภายใต้พิธีสารมอนทรีออล จึงต้องเข้มงวดกำกับดูแล เพราะหากพบว่ายังมีการลักลอบ โดยที่หน่วยงานภาครัฐไม่ดูแล ไทยก็อาจจะต้องเสี่ยงถูกคว่ำบาตรและกีดกันทางการค้าได้ในอนาคต"
นายศักดากล่าวเพิ่มเติมว่า ตามเป้าหมายไทยต้องเลิกผลิตและเลิกใช้สาร HCFCs ในปี"73 โดยใช้ค่าเฉลี่ยการผลิตและการใช้ในปี"52 และปี"53 เป็นค่าพื้นฐาน (baseline) ของการลด ซึ่งมีค่าเฉลี่ยของสารทั้ง 2 ประเภทอยู่ที่ 12,418 ตัน สำหรับขั้นตอนการลดการผลิตและการใช้ คือในปี"58 ต้องลดการผลิตและการใช้ลงร้อยละ 10 จากค่าพื้นฐาน ในปี"63 ต้องลดการผลิตและการใช้ลงร้อยละ 35 ปี"68 ต้องลดการผลิตและการใช้ลงร้อยละ 67.5 แต่ทั้งนี้ยินยอมให้มีการใช้สาร HCFCs เพื่อการบริการซ่อมบำรุงเครื่องมืออุปกรณ์ที่มีอยู่เดิมในระหว่างปี"73-83 ในปริมาณเฉลี่ยต่อปีร้อยละ 2.5 ของค่าพื้นฐาน และให้มีการพิจารณาทบทวนตัวเลขอัตราการใช้เพื่อการบริการซ่อมบำรุงอีกครั้งในปี พ.ศ. 2568 และไทยจะต้องเลิกผลิตและเลิกใช้สาร HCFCs ในที่สุด
ด้านนางสมศรี สุวรรณจรัส ผู้อำนวยการสำนักควบคุมวัตถุอันตราย กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาได้รณรงค์ให้ผู้ประกอบการปรับมาตรฐานการผลิตเครื่องปรับอากาศ โดยได้ดำเนินโครงการระยะที่ 1 ตั้งแต่ปี"55 จนถึงปี"60 เพื่อให้ผู้ประกอบการเปลี่ยนสายการผลิตเครื่องปรับอากาศขนาดเล็ก จากเดิมใช้สารทำความเย็น R 22 เป็น R 32 แทน ซึ่งมีผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการและเตรียมปรับเปลี่ยนสายการผลิตแล้ว 14 ราย
โดยทาง กรอ.ได้มีการขอสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนพหุภาคี ประมาณ 23 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 700 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาในการปรับเปลี่ยนสายการผลิตจาก R 22 เป็น R 32 ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าวจะต้องผ่านมติคณะรัฐมนตรีเพื่อจัดสรรให้เอกชนต่อไป แต่ขณะนี้ปัญหาวิกฤตการณ์ทางการเมือง ส่งผลให้ ครม.ยังไม่สามารถอนุมัติงบประมาณดังกล่าวได้ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าผู้ประกอบการจะสามารถควบคุมการใช้สารได้ตามข้อบังคับ เพราะจะเป็นผลดีแก่ตัวเองในการแข่งขันทางการค้าในเวทีโลก
"ในขณะที่น้ำยาทำความเย็นที่ใช้สาร R 22 กำลังจะถูกยกเลิกไปนั้น สารตัวใหม่ที่จะเข้ามาทดแทนคือ R 32 ซึ่งปล่อยสารที่เป็นมลพิษน้อยกว่า และภาคเอกชนจะต้องปรับสายการผลิตสารทำความเย็นใหม่ และขณะนี้แม้เงินสนับสนุนจะยังไม่สามารถผ่าน ครม.ได้ แต่ก็มีผู้ประกอบการที่เปลี่ยนไปผลิตเครื่องปรับอากาศที่ใช้สารทำความเย็น R 32 แล้ว 1 ราย คือบริษัท สยามไดกิ้นเซลส์ จำกัด ผู้ผลิตเครื่องปรับอากาศไดกิ้น จากนี้จะเตรียมทำโครงการระยะที่ 2 ที่คาดว่าเริ่มในปี"58"
ในขณะที่นางจินตนา ศิริสันธนะ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศและเครื่องทำความเย็น สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ผู้ประกอบการอยู่ระหว่างเตรียมความพร้อม เพื่อให้ทันการผลิตเครื่องปรับอากาศที่ใช้สาร R 32 ในปี 2560 ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้มีการทดสอบประสิทธิภาพสารทำความเย็น R 32 ดังกล่าวในห้องปฏิบัติการแล้ว
พบว่ามีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ผู้ประกอบการก็มีการศึกษา เรียนรู้ และมีการเตรียมอุปกรณ์เพื่อเตรียมพร้อมกับผลิตภัณฑ์ใหม่ และยังเตรียมการเจรจากับทางเจ้าของผลิตภัณฑ์ในต่างประเทศ สำหรับการเปลี่ยนสารทำความเย็นใหม่ด้วย ซึ่งทุกขั้นตอนกำลังดำเนินการ และคาดว่าจะแล้วเสร็จและผลิตเครื่องปรับอากาศรุ่นใหม่ทันปี"60
รายงานข่าวเพิ่มเติมจากสำนักสนธิสัญญาและยุทธศาสตร์ กระทรวงอุตสาหกรรมว่า ไม่เพียงแต่ประเทศที่อยู่ในระหว่างพัฒนาจะต้องลดการใช้สารไฮโดรคลอโรฟลูออโรคาร์บอนแล้ว ประเทศที่พัฒนาแล้วจะต้องปฏิบัติตามพิธีสารมอนทรีออลด้วยเช่นกัน สำหรับขั้นตอนการลดการผลิตและการใช้คือ ในปี"32 ต้องลดการผลิตและการใช้ลงร้อยละ 75 และภายในปี"58 จะต้องลดการผลิตและการใช้ลงร้อยละ 90 ทั้งนี้ ยินยอมให้มีการใช้เพื่อบริการซ่อมบำรุงเครื่องมืออุปกรณ์ที่มีอยู่เดิม
ขอบคุณที่มา : ประชาชาติธุรกิจ