เปรียบเทียบ ระหว่าง เครื่องตัดไฟรั่ว กับ สายดิน อะไรดีกว่ากัน
เปิดอ่าน 3,754
สายดิน เป็นความจำเป็นอันดับแรกที่ผู้ใช้ไฟฟ้าจะต้องมีสำหรับป้องกันไฟฟ้าดูด เพื่อให้กระแสไฟฟ้ารั่วไหลลงระบบสายดินได้โดยสะดวกโดยไม่ผ่านร่างกาย (ไฟไม่ดูด) และทำให้เครื่องตัดไฟอัตโนมัติตัดไฟออกได้ทันที หากเปรียบเทียบคุณสมบัติทั้งสองแล้วนั้น จะทราบโดยทันทีว่า มันเกิดมาเพื่อกันและกัน อิอิ
- เครื่องตัดไฟรั่ว เมื่อใช้กับระบบไฟที่มีสายดินจะเป็นมาตรการเสริมความปลอดภัยอีกชั้นหนึ่ง เพื่อให้มีการตัดไฟรั่วก่อนที่จะเป็นอันตรายกับระบบไฟฟ้า (ไฟไหม้) หรือกับมนุษย์ (ไฟดูด)
- เครื่องตัดไฟรั่วในระบบไฟที่ไม่มีสายดิน เครื่องตัดไฟรั่วจะทำงานก็ต่อเมื่อมีไฟรั่วไหลผ่านร่างกายแล้ว (ต้องถูกไฟดูดก่อน) ดังนั้น ความปลอดภัยจึงขึ้นอยู่กับความไวในการตัดกระแสไฟฟ้าและสภาพความแข็งแรงของผู้ถูกไฟฟ้าดูด
- ระบบไฟฟ้าที่ดีจึงควรมีทั้งระบบสายดินและเครื่องตัดไฟรั่ว เพื่อเสริมการทำงานซึ่งกันและกันให้เกิดความปลอดภัย ทั้งจากอัคคีภัยและการถูกไฟฟ้าดูด
ระบบปัจจุบัน: ถ้าไม่มีระบบสายดินหรือเครื่องตัดไฟรั่ว
ข้อแนะนำเพื่อความปลอดภัย: ต้องมีระบบสายดิน + เครื่องตัดไฟรั่วในสถานที่จำเป็น*
ระบบปัจจุบัน: ถ้ามีระบบสายดินอยู่แล้ว
ข้อแนะนำเพื่อความปลอดภัย: ต้องมีเครื่องตัดไฟรั่วในสถานที่จำเป็น*
ระบบปัจจุบัน: ถ้ามีเครื่องตัดไฟรั่วอยู่แล้ว
ข้อแนะนำเพื่อความปลอดภัย: ต้องมีระบบสายดิน
* สถานที่จำเป็น ได้แก่
- บริเวณที่เกี่ยวข้องกับน้ำ เช่น ห้องน้ำ (เครื่องทำน้ำอุ่น) ห้องครัว อ่างล้างหน้าและมือ สระว่ายน้ำ ปั๊มสูบน้ำบ่อเลี้ยงปลา เป็นต้น
- การใช้ไฟฟ้านอกอาคาร ทั้งชั่วคราวและถาวร เช่น ในสวน สนามหญ้า โรงรถ กริ่งหน้าบ้าน การก่อสร้าง ซ่อมแซมต่างๆ เป็นต้น
- อื่นๆ เช่น สถานที่มีเด็กเล็ก เป็นต้น